เมืองไทย 360 องศา
สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นาทีนี้ถือว่าชะตากรรมของเขาอยู่ในมือศาลรัฐธรรมนูญอย่างเต็มรูปแบบแล้วจากกรณีถูกร้องคดีถือหุ้นสื่อ หลังจากที่ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ศาลรัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้ขยายเวลาเพื่อชี้แจงในคดีดังกล่าวออกไปอีก 15 วันตามที่ร้องขอ หลังจากก่อนหน้านี้เขาได้ยื่นขอขยายเวลาไป 30 วันไปแล้ว และยังไม่ครบกำหนด โดยจะครบกำหนดในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ ดังนั้นหากรวมระยะเวลาที่ศาลเคยให้เวลาชี้แจง 15 วันก็ถือว่า ธนาธร มีเวลาในการรวบรวมเอกสาร หลักฐานสำหรับการโต้แย้งแก้ต่างรวมทั้งสิ้น 45 วัน
แน่นอนว่าสำหรับคนในวงการย่อมมองออกว่านี่คือแท็กติกการ”ซื้อเวลา”ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกไปให้นานที่สุด หรืออย่างน้อยก็เพื่อรอเวลาการพิจารณาคดีของ บรรดา ส.ส.และ ส.ว.ที่รวมกันอีกนับร้อยที่ถูกยื่นร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องเดียวกันนั่นคือกรณี”หุ้นสื่อ” แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว มีเนื้อหาและรายละเอียดต่างกันบิบลับแบบคนละเรื่อก็ตาม
แต่อย่างน้อยก็สร้างแรงกดดัน สามารถสร้างกระแส”สองมาตรฐาน”ได้ไม่น้อย โดยเฉพาะการผลิตวาทกรรมซ้ำๆประเภทที่ว่าทำไมที ธนาธร ถึงได้ใช้เวลาในการพิจารณารวดเร็วเพียงแค่ 7 วันแล้วสั่ง”ยุติการทำหน้าที่ ส.ส.”ชั่วคราว ซึ่งในเรื่องแบบนี้ค่อยมาว่ากันในภายหลัง แต่นาทีนี้สำหรับเขาถือว่า “น่าหวาดเสียว” เพราะการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ขยายเวลาออกไปอีกเป็นครั้งที่สองมันก็ย่อมมองออกว่าเป็น”สัญญาณไม่ดี”แน่นอน
แม้ว่าในเหตุผลที่อธิบายว่าเป็นเพราะเวลาที่ขอขยายในรอบแรก 30 วันยังไม่หมดลง และเห็นว่าเขามีเวลาในการจัดเตรียมเอกสารในการชี้แจงได้ทันจึงไม่ขยายเวลาให้อีก ซึ่งการขยายเวลาดังกล่าวจะเป็นเพราะความจำเป็นจริงหรือว่าเป็นแท็กติกทางกฎหมายเพื่อยื้อเวลาก็ตาม แต่สำหรับคดีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะว่าไปแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมาย เป็นเพียงแค่การยืนยันว่าได้มีการโอนหุ้นก่อนหรือหลังวันที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
โดยกรณีนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นการพิจารณาจากเอกสารยืนยันทางราชการ นั่นคือจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่เป็น บอจ.5 ยืนยันหลักฐานว่า เขาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ตั้งแต่ปี 2558 ถึง 21 มีนาคม 2562 พ้นกำหนดจากวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ ที่เขายื่นสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเขาเข้าข่ายมีคุณสมบัติต้องห้ามในเรื่องการ”ถือหุ้นสื่อ”
แน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมาอาจทำให้หลายคนนำไปเปรียบเทียบกับเรื่องที่ ส.ส.หลายคนกำลังถูกร้องเรียนในเรื่องเดียวกัน ก็ต้องบอกว่า”ต่างกัน”เพราะอย่างที่บอกกรณีของ ธนาธร ถือว่ามีการถือหุ้นสื่ออย่างชัดเจนและเจ้าตัวก็ไม่เคยเถียง และเป็นบริษัทที่เข้าองค์ประกอบกิจการสื่อ และมีการระบุ”วัตถุประสงค์”ชัดเจน
ขณะที่หลายคนที่ถูกร้องนั้นจะเป็นแบบหนังสือคำร้องจดแจ้งบริษัทหรือในหนังสือบริคณห์สนธิที่เป็นแบบฟอร์มระบุวัตถุประสงค์ให้ครอบคลุม เช่นประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แต่ขณะเดียวกันในแบบฟอร์มจดแจ้งก็มีครอบคลุมทั้ง 11 ด้านเอาไว้ด้วย
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากการปฏิเสธการขยายเวลาออกไปอีก 15 วันของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แม้ว่าจะเป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาเลยสำหรับเขา อย่างน้อยความพยายามในการยื้อเวลาให้นานออกไปอีกก็ทำไม่สำเร็จ
ทำให้ต้องมาลุ้นกันว่าในวันที่ 8 กรกฎาคมที่เป็นวันครบกำหนดที่ศาลให้เวลารวบรวมเอกสารชี้แจงว่าจะออกมาแบบไหน แต่เท่าที่เห็นในเวลานี้บอกได้คำเดียวว่า หนาวมาก !!
สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นาทีนี้ถือว่าชะตากรรมของเขาอยู่ในมือศาลรัฐธรรมนูญอย่างเต็มรูปแบบแล้วจากกรณีถูกร้องคดีถือหุ้นสื่อ หลังจากที่ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ศาลรัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้ขยายเวลาเพื่อชี้แจงในคดีดังกล่าวออกไปอีก 15 วันตามที่ร้องขอ หลังจากก่อนหน้านี้เขาได้ยื่นขอขยายเวลาไป 30 วันไปแล้ว และยังไม่ครบกำหนด โดยจะครบกำหนดในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ ดังนั้นหากรวมระยะเวลาที่ศาลเคยให้เวลาชี้แจง 15 วันก็ถือว่า ธนาธร มีเวลาในการรวบรวมเอกสาร หลักฐานสำหรับการโต้แย้งแก้ต่างรวมทั้งสิ้น 45 วัน
แน่นอนว่าสำหรับคนในวงการย่อมมองออกว่านี่คือแท็กติกการ”ซื้อเวลา”ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกไปให้นานที่สุด หรืออย่างน้อยก็เพื่อรอเวลาการพิจารณาคดีของ บรรดา ส.ส.และ ส.ว.ที่รวมกันอีกนับร้อยที่ถูกยื่นร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องเดียวกันนั่นคือกรณี”หุ้นสื่อ” แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว มีเนื้อหาและรายละเอียดต่างกันบิบลับแบบคนละเรื่อก็ตาม
แต่อย่างน้อยก็สร้างแรงกดดัน สามารถสร้างกระแส”สองมาตรฐาน”ได้ไม่น้อย โดยเฉพาะการผลิตวาทกรรมซ้ำๆประเภทที่ว่าทำไมที ธนาธร ถึงได้ใช้เวลาในการพิจารณารวดเร็วเพียงแค่ 7 วันแล้วสั่ง”ยุติการทำหน้าที่ ส.ส.”ชั่วคราว ซึ่งในเรื่องแบบนี้ค่อยมาว่ากันในภายหลัง แต่นาทีนี้สำหรับเขาถือว่า “น่าหวาดเสียว” เพราะการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ขยายเวลาออกไปอีกเป็นครั้งที่สองมันก็ย่อมมองออกว่าเป็น”สัญญาณไม่ดี”แน่นอน
แม้ว่าในเหตุผลที่อธิบายว่าเป็นเพราะเวลาที่ขอขยายในรอบแรก 30 วันยังไม่หมดลง และเห็นว่าเขามีเวลาในการจัดเตรียมเอกสารในการชี้แจงได้ทันจึงไม่ขยายเวลาให้อีก ซึ่งการขยายเวลาดังกล่าวจะเป็นเพราะความจำเป็นจริงหรือว่าเป็นแท็กติกทางกฎหมายเพื่อยื้อเวลาก็ตาม แต่สำหรับคดีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะว่าไปแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมาย เป็นเพียงแค่การยืนยันว่าได้มีการโอนหุ้นก่อนหรือหลังวันที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
โดยกรณีนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นการพิจารณาจากเอกสารยืนยันทางราชการ นั่นคือจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่เป็น บอจ.5 ยืนยันหลักฐานว่า เขาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ตั้งแต่ปี 2558 ถึง 21 มีนาคม 2562 พ้นกำหนดจากวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ ที่เขายื่นสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเขาเข้าข่ายมีคุณสมบัติต้องห้ามในเรื่องการ”ถือหุ้นสื่อ”
แน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมาอาจทำให้หลายคนนำไปเปรียบเทียบกับเรื่องที่ ส.ส.หลายคนกำลังถูกร้องเรียนในเรื่องเดียวกัน ก็ต้องบอกว่า”ต่างกัน”เพราะอย่างที่บอกกรณีของ ธนาธร ถือว่ามีการถือหุ้นสื่ออย่างชัดเจนและเจ้าตัวก็ไม่เคยเถียง และเป็นบริษัทที่เข้าองค์ประกอบกิจการสื่อ และมีการระบุ”วัตถุประสงค์”ชัดเจน
ขณะที่หลายคนที่ถูกร้องนั้นจะเป็นแบบหนังสือคำร้องจดแจ้งบริษัทหรือในหนังสือบริคณห์สนธิที่เป็นแบบฟอร์มระบุวัตถุประสงค์ให้ครอบคลุม เช่นประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แต่ขณะเดียวกันในแบบฟอร์มจดแจ้งก็มีครอบคลุมทั้ง 11 ด้านเอาไว้ด้วย
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากการปฏิเสธการขยายเวลาออกไปอีก 15 วันของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แม้ว่าจะเป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาเลยสำหรับเขา อย่างน้อยความพยายามในการยื้อเวลาให้นานออกไปอีกก็ทำไม่สำเร็จ
ทำให้ต้องมาลุ้นกันว่าในวันที่ 8 กรกฎาคมที่เป็นวันครบกำหนดที่ศาลให้เวลารวบรวมเอกสารชี้แจงว่าจะออกมาแบบไหน แต่เท่าที่เห็นในเวลานี้บอกได้คำเดียวว่า หนาวมาก !!