ข่าวเด่น » _ _ _ เป็นโจ๊ก ไม่ หวานเจี๊ยบ นะจ๊ะ

_ _ _ เป็นโจ๊ก ไม่ หวานเจี๊ยบ นะจ๊ะ

29 มิถุนายน 2019
405   0

 

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ – กลับมาเป็น Talk of The Town อีกครั้ง สำหรับ “เทพโจ๊ก” หรือ “บิ๊กโจ๊ก” หรือ “โจ๊กหวานเจี๊ยบ” หรือ “ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) โดยเฉพาะกรณีล่าสุดที่ชื่อของเขาไปปรากฏหราเป็น “อนุกรรมการ ก.ตร.เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบ (อ.ก.ตร.กฎหมาย)ชุดใหม่” ทั้งๆ ที่โดน “คำสั่งพิเศษ” ม.44 ของ “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เด้งพ้นขาดจาก “ข้าราชการตำรวจ” ไปเป็น “ข้าราชการพลเรือน” สังกัดสำนักปลัดนายกรัฐมนตรี ไปก่อนหน้านี้ไม่นานนัก

แถมผู้ที่ลงนามอนุมัติก็คือ “นายป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ “ประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)” ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่า ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ขนาดไหน ก่อนที่สุดท้าย ก.ตร.จำต้องมีมติ “ดับไฟร้อน” ด้วยการถอดชื่อ “บิ๊กโจ๊ก” พ้นจากอนุกรรมการชุดดังกล่าวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กระนั้นก็ดี หากตรวจสอบและวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของ “บิ๊กโจ๊ก” ในช่วงที่ผ่านมาก็จะเห็นว่า มีนัยสำคัญอยู่ไม่น้อย เพราะมีกระแสออกมาเป็นระยะๆ จนเป็นที่โจษจันกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า “บิ๊กโจ๊ก” กำลังจะกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้งใน “ถิ่นเก่า” ซึ่งก็คือ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” และร่ำลือกันใหญ่โตว่าจะมารั้งเก้าอี้ “ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” เพื่อจ่อคิวเป็น “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” เสียด้วยซ้ำไป

“ไม่มีมูลฝอย หมาไม่ขี้” 

คำๆ นี้ย่อมไม่อาจมองข้ามผ่านไปได้ 

บิ๊กโจ๊กเจอมรสุมใหญ่เมื่ออยู่ๆ บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ย้าย “ฟ้าผ่า” ให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากตำแหน่งเดิมไป “เข้ากรุนายพลตำรวจ” ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2562 

ตามต่อด้วย “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่คำสั่ง “พิเศษ” ตาม ม.44 เด้งซ้ำไปอีกดอกให้พ้นจาก “ข้าราชการตำรวจ” ไปเป็น “ข้าราชการพลเรือน” รั้งตำแหน่ง “ที่ปรึกษาพิเศษ” สังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562

นับแต่นั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็เงียบหายไปแบบไร้ร่องรอย มีผลุบๆ โผล่ๆ มารายงานตัวที่สำนักนายกรัฐมนตรีครั้งสองครั้ง ก่อนที่จะได้รับคำยืนยันจาก นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีว่า “ลาราชการ” ไปพักผ่อนหลบเลียแผลใจที่ต่างประเทศพักใหญ่ ก่อนหน้าที่จะปรากฏเป็นข่าวคึกโครมที่ “ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช” เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2562โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แห่แหนไปให้การต้อนรับอย่างเนืองแน่น พร้อมๆ กับกระแสข่าว “คัมแบ็ก” และกลับมาใหญ่อีกครั้ง

ทั้งนี้ กระแสข่าวการกลับมาของโจ๊ก หวานเจี๊ยบที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องมิใช่ไม่มีมูลเสียทีเดียว หากแต่มาพร้อมๆ กับข่าวว่า เขาสามารถ “เคลียร์” มรสุมอันเป็นสาเหตุของการถูกเด้งแบบฟ้าผ่าด้วยการ “คายข้อมูลสำคัญบางประการ” ออกมา ซึ่งไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจริงเท็จประการใด โดยมีการแผ้วถางทางออกมาว่า ต้องการให้ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” มาสานต่องานการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ขาดระยะไป โดยเฉพาะเรื่องหนี้นอกระบบและการคืนโฉนดที่ดินให้ชาวบ้าน

“ยังไม่มีอะไรชัดเจนถึงเรื่องดังกล่าว แต่ก็อาจมีความเป็นไปได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้เรียกนายตำรวจติดตามกลับมาทำงานเหมือนเดิม หลังจากก่อนหน้านี้ได้ย้ายทุกคนกลับไปทำงานตำแหน่งประจำ”แหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาลให้ข้อมูลถึงความเคลื่อนไหวของบิ๊กโจ๊กในช่วงก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองถึงความเป็นไปได้ในการกลับมาของโจ๊ก หวานเจี๊ยบก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะจากการตรวจสอบก็พบว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็เคยลงนามในคำสั่งย้าย พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้พ้นจากตำแหน่งรักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) โดยให้กลับไปดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามเดิม โดยได้ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 331/2561 ลงวันที่ 17 ธ.ค. 2561 ที่ให้ พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ มารักษาราชการในตำแหน่งดังกล่าว มาแล้วเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีกรณี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร. ด้วยเช่นกัน ที่เคยถูกคำสั่งย้ายจากต้นสังกัด คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ไปเป็นข้าราชการพลเรือนที่สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อหลังเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 แต่ในที่สุดก็กลับคืนต้นสังกัดได้ และได้รับตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปในที่สุด

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล


สำหรับกรณีของโจ๊ก หวานเจี๊ยบนั้น ร่องรอยของการ come back ปรากฏเด่นชัดขึ้นเมื่อมีหนังสือราชการโชว์หราออกมาตอกย้ำความไม่ธรรมดาของเขาในช่วงค่ำคืนของวันที่ 25 มิถุนายน เมื่อมีเอกสารสำคัญ “หลุด” ออกมา นั่นก็คือประกาศแต่งตั้ง “อนุกรรมการ ก.ตร.เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบ (อ.ก.ตร.กฎหมาย)ชุดใหม่” ซึ่งมีชื่อของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล โดดเด่นเป็นสง่ารวมอยู่ด้วย

ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ก็คือ คนที่ลงนามในคำสั่งนี้ก็คือ ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)

และเมื่อดูวัน ว. เวลา น.ก็จะเห็นว่า ลุงป้อมแห่งบ้านใหญ่โชคชัย 4 เซ็นลงนามเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2562 หรือก่อนที่พล.ต.ท.สุรเชษฐ์จะปรากฏตัวที่ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช เพราะฉะนั้นจงอย่าแปลกใจว่าทำไมถึงมีข้าราชการตำรวจระดับสูงพากันไปแห่แหนต้อนรับบิ๊กโจ๊กกันอย่างเอิกเกริก

บ้างก็ว่า ลุงป้อมไม่รู้เรื่อง เพราะเซ็นไปตามเอกสารที่เสนอเข้ามา แต่ถึงจะอย่างไรก็ตาม ลุงป้อมจะบอกว่า ไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องนี้ก็ไม่ได้ เพราะมีลายเซ็นปรากฏหราอยู่ข้างท้ายคำสั่ง ถึงอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบ 

ถามว่า แล้ว “อนุกรรมการ ก.ตร.เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบ (อ.ก.ตร.กฎหมาย)ชุดใหม่” ที่บิ๊กโจ๊กไปนั่งเป็นอนุฯ กับเขาด้วยนั้น มีความสลักสำคัญอย่างไร

ก็ต้องตอบว่า แม้เป็น “อนุฯ เล็กๆ” แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า บารมีของบิ๊กโจ๊กนั้นไม่ธรรมดา เพราะขนาดถูกเด้งพ้นจากข้าราชการตำรวจไปแล้ว ยังสามารถมีชื่ออยู่ในอนุฯ ก.ตร.ได้ ซึ่งบ่งบอกว่า “ลูกพี่” ของบิ๊กโจ๊กนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน

อนุ ก.ตร.ชุดนี้ประกอบด้วยนายตำรวจ 16 นาย โดยมี พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน มีหน้าที่หลักๆ ก็อย่างเช่น การพิจารณาและเสนอความเห็นต่อ ก.ตร.ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง , พิจารณาและเสนอความเห็นต่อ ก.ตร. เกี่ยวกับการออก แก้ไข ปรับปรุง และยกเลิกในส่วนที่ไม่จำเป็นของกฎหมาย กฎ ก.ตร. ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนด ประกาศ มติ การกำหนดนโยบายและมาตรฐานเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกำกับดูแล ตรวจสอบ และแนะนำงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

เมื่อคำสั่งแต่งตั้งหลุดออกมาเรื่องก็ร้อนฉ่าไปทั้งแวดวงสีกากีจน “ผู้เกี่ยวข้อง” ต้องดาหน้าออกมาชักแม่น้ำทั้งห้าอรรถาธิบายเป็นการใหญ่ เริ่มจากตัวประธานอนุฯ ชุดนี้ ซึ่งก็คือ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ที่วิ่งโร่ไปรายงานกับบิ๊กป้อมอย่างเร่งด่วน

รองวิระชัยบอกว่า บิ๊กโจ๊กมีชื่อในคณะกรรมการชุดนี้ต่อเนื่อง มาหลายปีแล้ว อีกทั้งในการประชุม กตร. ครั้งที่แล้ว ไม่มีใครทักท้วง และที่ยังคงมีชื่ออยู่ในคณะอนุกรรมการชุดนี้ต่อ เพราะเห็นว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ อยู่สำนักนายกรัฐมนตรี จะสามารถช่วยประสานงานได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งไม่ได้มีเรื่องเสียหายอะไร จึงไม่มีใครคัดค้าน นอกจากนี้ ในวันเดียวกันยังได้แต่งตั้ง “นวยนิ่ม” พล.ต.อ.อำนวย นิ่มมะโน อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น. )เข้ามาเป็นคณะกรรมการเพิ่ม แทน พลตำรวจตรีกฤษกร พลีธัญญะวงศ์

ย้ำกันอีกครั้งว่า “ไม่มีใครทักท้วง” 

“ท่านประวิตร ไม่ได้เกี่ยวข้อง เมื่อนำเสนอขึ้นมา ท่านก็ลงนาม อีกทั้งคณะกรรมการชุดนี้ก็ไม่ได้มีอำนาจหรือมีผลประโยชน์ใดๆ เป็นแค่คณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องข้อกฎหมายตามที่ กตร. เสนอมาเท่านั้น” พล.ต.อ.วิระชัยแจกแจงและเห็นได้ชัดว่างานนี้ปกป้อง “ลุงป้อม” เต็มกำลัง

เป็นรองวิระชัยที่ใครๆ ก็รู้ว่า ความสัมพันธ์ของเขากับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์นั้นแนบแน่นขนาดไหน เอาเป็นว่า แน่นแฟ้นชนิดที่ไม่รู้ว่า ใครเป็นพี่ใครเป็นน้องก็แล้วกัน (555)

ขณะที่ตัว “ลุงป้อม” ก็ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องโดยตรง โดยบอกว่า เป็นเรื่องภายในของตำรวจ ที่เป็นคำสั่งเก่า เป็นเรื่องของ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการ ฝ่ายกฎหมาย ของ กตร. ที่เสนอมา ซึ่งมีชื่อคนนอก ร่วมเป็นกรรมการได้ 

แถม “ลุงป้อม” ยังพร้อมปฏิเสธเสียงแข็งถึงข่าวบิ๊กโจ๊กกลับมาเป็น ผช.ผบ.ตร. ว่า “ไม่มี บอกไปแล้วว่า ไม่มี เขาเป็น ข้าราชการพลเรือน แล้ว ไม่ได้เป็นตำรวจ จะกลับมาได้ยังไง ส่วนการที่ อ.วิษณุ บอกว่า ใช้คำสั่ง ตามกม. ปกติ ก็กลับมาได้นั้น ก็ให้ไปถาม อ.วิษณุ”

แม้ “ลุงป้อม” จะยืนยันหนักแน่น แต่เชื่อหัวไอ้เรืองเถอะว่า ความพยายามในเรื่องนี้ดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ ดังที่ “รองณุ-นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายบอกว่า สามารถทำได้ เพราะเทพโจ๊กไม่ได้โดนคำสั่งมาเพื่อการลงโทษ แต่เป็นการย้ายออกจากข้าราชการตำรวจเป็นข้าราชการพลเรือน โดยสามารถใช้คำสั่งปกติในรัฐบาลปกติ หรือถ้าจะทำตอนนี้ก็สามารถใช้คำสั่ง ม.44 ได้ ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้วจะหาทางออกกันอย่างไร

ขณะที่ตัว “บิ๊กโจ๊ก” เองได้ลุกขึ้นมาชี้แจงถึงคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นอนุฯ ก.ตร.ว่า คำสั่งที่ได้รับการแต่งตั้งครั้งนี้ เป็นคำสั่งแต่งตั้งในคณะทำงานชุดเดิม ซึ่งปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในบางตำแหน่ง รวมถึงประธานกรรมการ เนื่องจากเกษียณอายุราชการ จึงต้องมีการลงนามคำสั่งใหม่อีกครั้ง ยืนยันว่า ไม่ใช่การแต่งตั้งตำแหน่งใหม่แต่อย่างใด ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็พร้อมที่จะทำงาน และจะทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทำงานให้ประชาชนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาประเทศขับเคลื่อน ตามนโยบายของรัฐบาล

หลังเผชิญมรสุม บิ๊กโจ๊กปรากฏตัวครั้งแรกที่ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตบเท้าไปต้อนรับเป็นจำนวนมาก

หลังเผชิญมรสุม บิ๊กโจ๊กปรากฏตัวครั้งแรกที่ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตบเท้าไปต้อนรับเป็นจำนวนมาก


ส่วนกรณีที่ปรากฏภาพเดินทางไปไหว้พระที่ จ.นครศรีธรรมราชนั้น บิ๊กโจ๊กยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ด้วยเหตุเพราะนับถือเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งที่ผ่านมาก็มีโอกาสเดินสายทำบุญเช่นนี้มาตลอด เพียงแต่ก่อนหน้านี้ภาระงานค่อนข้างหนัก ทำให้เวลาในการตระเวนไหว้พระมีน้อยแต่หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการพลเรือน ทำให้พอมีเวลามากขึ้นในการปฏิบัติธรรม ซึ่งที่ผ่านมาหลังจากเสร็จภารกิจงาน ตนและภรรยาก็ได้ออกเดินสายไหว้พระเพื่อขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ ทั้งเหนือ อีสาน ใต้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสเข้าไปกราบสักการะพระแก้วมรกตในพระบรมมหาราชวัง ด้วยหัวใจเลื่อมใสศรัทธา เหมือนเช่นประชาชนคนหนึ่ง

“อีกทั้งช่วงนี้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง โดยเฉพาะคุณแม่เพิ่งหกล้ม จนทำให้ต้องพักฟื้นอยู่เป็นสัปดาห์ จึงคิดว่า น่าจะหาโอกาสที่เหมาะสมไปไหว้พระขอพรเพื่อให้คุณแม่หายป่วย”นายพลคนดังอธิบาย

กระนั้นก็ดีการที่ “บิ๊กโจ๊ก” กล้าปรากฏตัวและกล้าให้สัมภาษณ์หลังโดนคำสั่งพิเศษ ม.44 สะท้อนให้เห็นว่า สถานการณ์ชีวิตของนายตำรวจรายนี้น่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ อย่างไร เพราะก่อนหน้านี้เขาสงบปากสงบคำมาโดยตลอด

ทว่า สุดท้ายแล้ว “ลุงป้อม” ก็ใจไม่ด้านพอ ซึ่งก็ต้อง “ขอชม” ที่ไม่ดันทุรัง เพราะในการประชุม ก.ตร.เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติถอด “เทพโจ๊ก” ออกจากเก้าอี้อนุฯ ชุดดังกล่าวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนจะมี “เบื้องหน้าเบื้องหลัง” ที่ทำให้ต้องปลดบิ๊กโจ๊กมากไปกว่านี้หรือไม่ ไม่เป็นที่แน่ชัด

ประเด็นสำคัญถัดมาคือ “บิ๊กโจ๊ก” มีดีอะไรถึงได้รับความไว้วางใจจากผู้เป็นนายมากถึงขนาดนั้น

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เป็นที่รับรู้กันว่า ตำรวจที่ใกล้ชิดและถือเป็นสายตรง “ลุงป้อม” มีอยู่ 2 คน คนแรกคือ บิ๊กป๊อด-พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.ผู้เป็นน้องชาย ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ “บิ๊กโจ๊ก” โดยทั้งคู่ถือเป็นผู้กลั่นกรองเรื่องของตำรวจให้กับ “ลุงป้อม” 

ระยะแรกๆ ดูเหมือนบิ๊กป๊อดจะมีบทบาทสำคัญ แต่หลังๆ ดูเหมือนจะค่อยๆ หายไป ส่วนบิ๊กโจ๊กนั้น ยิ่งนานวันก็ยิ่ง“ขึ้นหม้อ” มากเป็นลำดับเนื่องจากสนองนายได้ทุกเรื่อง ขึ้นหม้อถึงขนาดที่ว่า ใครจะขึ้นช้างลงม้าก็ต้องผ่านการประทับรับรองจากบิ๊ก โจ๊กเสียก่อนเลยก็ว่าได้ 

เรียกว่าถ้ามี “ตั๋วโจ๊ก” ก็ผ่านฉลุยทุกเรื่อง

ยิ่งเมื่อบิ๊กโจ๊กเดินหน้าตะลุยแก้หนี้นอกระบบพร้อมแจกโฉนดคืนชาวบ้านด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ “ลุงป้อม” ไว้เนื้อเชื่อใจมากขึ้น เพราะสร้างผลงานให้เป็นเนื้อเป็นหนังชนิดจับต้องได้ ซึ่งต้องยอมรับว่า มีผลโดยตรงต่อคะแนนเสียงของพรรคพลังประชารัฐไม่น้อย

แม้แต่ “การกู้เรือฟีนิกซ์” ที่ล่มและเกือบจะกลายเป็นปัญหาระหว่างไทย-จีน “บิ๊กโจ๊ก” ยังสามารถเนรมิตงบประมาณในการดำเนินงานมาได้ชนิดที่ใครๆ ก็ต้อง “ซูฮก” 

ไม่นับรวมถึงการสร้างภาพที่ต้องบอกว่า “หน่วยปฏิบัติการทางจิตวิทยา” หรือ “หน่วย I.O.” เพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานของ “บิ๊กโจ๊กและนาย” ที่มีฝีไม้ลายมือไม่เป็นสองรองใครในปฐพีเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เส้นทางการกลับสู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติของโจ๊กหวานเจี๊ยบดูเหมือนจะไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ เพราะ “วีรกรรม” ของนายพลตำรวจนายนี้ก็มีให้เห็นมากมายและแต่ละเรื่องก็ล้วนแล้วแต่หนักๆ ทั้งนั้น

 

ทั้งนี้ เรื่องที่ถูกนำมาโยงแบบพอดิบพอดีคือ กรณีที่มีการออกมากล่าวหา “ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปฉช.ตร.)” ว่ามีการจัดฉากแหกตาประชาชน และแหกตา “พล.ต.อ.ป.” ในการปราบปรามหนี้นอกระบบ และการคืนโฉนดที่ดิน

“ถ้าไม่ทำอย่างตรงไปตรงมาก็จะถูกหลอกจากนายตำรวจบางคนที่ต้องการโชว์ผลงาน โดยไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่เช่นนั้นนายหรือผู้ใหญ่จะถูกหลอก หรือถ้าให้สิ่งเหล่านี้เดินหน้าต่อ เราก็ต้องยอมรับว่า มีกระบวนการต่อรองในการดำเนินคดี หรือจะไม่ดำเนินคดีอาญา แต่ต้องทำสถิติให้เขา ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมาย เพราะตำรวจชั้นผู้น้อยส่วนใหญ่ลำบากใจมาก ขณะที่มีตำรวจบางนายที่สนับสนุนเรื่องนี้ โดยเน้นการสร้างสถิติ ก็เจริญเติบโตทางราชการ ดังนั้น ตนจึงขอให้ดำเนินคดีตามความเป็นจริง”นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ออกมาจุดชนวนเรื่องดังกล่าวอรรถาธิบาย

แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อว่าใคร แต่ก็รู้กันอยู่ว่า ศูนย์นี้มีใครเป็น “บิ๊กบอสตัวจริง” มีใครเป็นคนขับเคลื่อนเพื่อทำหน้าที่สร้างภาพให้กับนายใหญ่ในช่วงเลือกตั้งแบบถี่ยิบและก็ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมเสียด้วย

 


ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ ในวันที่ “ลุงป้อม” เดินทางไป เป็นประธานในพิธีมอบคืนโฉนดและทรัพย์สิน คืนความสุขให้ประชาชนลดความเหลื่อมล้ำของสังคมครั้งที่ 12 ที่ลพบุรีเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา มีชาวบ้านกว่า 30 ราย ที่เดินทางมาจากจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดเลย ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการที่ถูกริบโฉนดที่ดินคืน เดินทางมาร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อ พลเอกประวิตรโดยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินโครงการ แก้ปัญหาหนี้นอกระบบและเงินกู้ดอกเบี้ยโหด 

นางแสงจันทร์ บุตรเขียว ชาวชัยภูมิ 48 ปี กล่าวว่า ตนเองเป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่นำโฉนดที่ดินไปจำนองกับนายทุนเงินกู้ในพื้นที่ อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ซึ่งมีสุพล ผลสมบูรณ์สุข เป็นนายทุนเงินกู้ โดยได้เงินจากการจำนองโฉนดที่ดินมากว่า 300,000 บาท และตนก็พยายามที่จะไถ่ถอนแต่นายทุนให้นำเงินกว่า 1.7 ล้านบาทมาไถ่ถอน ต่อมาได้มีการดำเนินการเจรจาประนอมหนี้ในการไถ่ถอน และเข้าสู่กระบวนการในการคืนโฉนดของทางจังหวัดเมื่อครั้งที่ผ่านมา ซึ่งจัดขึ้นในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาโดยจัดคู่ขนานกับที่ จ.พิษณุโลก ทั้งนี้ภายหลังจากได้รับการคืนโฉนดปรากฏว่าระหว่างที่เดินทางกลับจนถึงที่ จ.ชัยภูมิได้มีการริบโฉนดคืน ทำให้ตนนั้นเสียสิทธิ์ในการที่จะได้โฉนดกลับไปเป็นของตนเอง

สอดรับกับหนึ่งในผู้เสียหายที่กล่าวว่า ในการคืนโฉนดครั้งที่ผ่านมาซึ่งจัดทางจังหวัดนครราชสีมาจัดขึ้น พบว่าชื่อของตนเองถูกนำไปสวมอ้างในการรับโฉนด ทั้งที่ความเป็นจริงตนเองไม่ได้รับโฉนดคืนแม้แต่ครั้งเดียว  จึงสงสัยว่าตำรวจมีความจริงใจในการแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนอย่างที่ผ่านมาหรือไม่ จึงอยากเรียกร้องให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมลงมาตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนจะสร้างปัญหาบานปลายไปถึงรัฐบาล ที่ยืนยันมาตลอดว่าจะอยู่ข้างประชาชน

และไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น แต่ยังมีเรื่อง Premium Lane หรือบัตร Fast Trackที่กำลังมีปัญหาชุลมุนชุลเกกันอยู่ ด้วยเหตุต้องสงสัยว่ามีขบวนการขายบัตร นอกระบบ เพื่อให้ใช้ผ่านช่องทางพิเศษ(Priority Lane)ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยขายผ่านบริษัททัวร์ให้ผู้โดยสารทั่วไป ราคาตั้งแต่ 200 บาท/ใบไปจนถึง 900-1,000 บาท ให้สามารถใช้ช่องทาง Premium Laneได้ ซึ่งผิดเงื่อนไขและระเบียบ ขณะที่บัตร Fast Track ดังกล่าวสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ได้แต่งตั้งให้บริษัท VFS Global Group จำกัด เป็นผู้จัดพิมพ์ และขายให้กับสายการบิน ที่มีบริการผู้โดยสารชั้นหนึ่ง หรือชั้นธุรกิจ โดยเพิ่มราคาจากใบละ 18 บาท เป็น 35 บาท

ทั้งนี้ หลังเกิดปัญหา “โป๊ะแตก” และคณะกรรมการดำเนินงานธุรกิจการบิน(AOC)ได้มีหนังสือถึง บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ให้แก้ปัญหาการใช้บัตร Fast Trackที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบ และขอให้กวดขันการให้บริการช่องทางพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีการกวดขันการใช้ช่องทางพิเศษ โดยจะให้บริการเฉพาะผู้โดยสารที่ถือบัตรโดยสารชั้นหนึ่ง หรือชั้นธุรกิจ หรือผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น หากไม่ใช่จะไม่สามารถเข้าช่องทางพิเศษนี้ได้

สำหรับปัญหาของเรื่องนี้นั้น แรกเริ่มสายการบิน โดย AOCได้ตกลงที่จะจัดทำบัตร Fast Track ผ่านทางช่องทางพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารชั้นหนึ่ง หรือชั้นธุรกิจ โดยสายการบินจ่ายค่าบัตรในราคาใบละ 18 บาท ซึ่งนอกจากเป็นค่าพิมพ์บัตรแล้ว ยังเป็นค่าอาหารสำหรับเจ้าหน้าที่ ตม. ที่มาให้บริการด้วย เพื่อช่วยประหยัดงบประมาณแผ่นดิน โดยจะให้สายการบินเบิกบัตรไปก่อน และจ่ายเงินตามจำนวนบัตรที่ใช้จริง ซึ่งมีความยุติธรรมโปร่งใส 

ต่อมามีขบวนการพิมพ์บัตรผี ขายทัวร์ ผู้โดยสารทั่วไป และถูกเปิดโปงไปเมื่อ ปี 61 

จากนั้นในช่วงต้นปี 2562 ทางตม.ได้ฟื้นบัตร Fast Track โดย ตม.เป็นผู้ผลิต และจำหน่ายเอง ในราคา ใบละ 35 บาท ขณะที่มีข้อสงสัยว่า ตม.ใช้อำนาจ หรือกฎหมายใด ในการขายบัตรดังกล่าว และมีการให้บริการช่องทางพิเศษ ผิดระเบียบของสนามบินหรือไม่อย่างไร 

คงไม่ต้องถามกระมังว่า โครงการดังกล่าวมีปัญหาหรือไม่ เพราะถ้าดีจริง มีหรือที่ ทอท.จะมาสั่งรื้อให้เห็นกันซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ ซึ่งผู้ใหญ่ที่นั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่งขององค์กรในขณะนั้นอย่าง “บิ๊กโจ๊ก” ก็น่าจะเคลียร์ปัญหาดังกล่าวให้ชัดเจนเสียก่อน

เพราะฉะนั้นเมื่อจับยามสามตาดูเหตุและผลด้วยประการทั้งปวงแล้ว ก็ต้องบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องง่าย” ที่ “บิ๊กโจ๊ก” จะกลับมาเป็นใหญ่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไหนจะปัญหา “ภายใน” เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่มีการปล่อยภาพที่ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช หรือการปล่อยเอกสารคำสั่งแต่งตั้งให้เป็น อนุฯ ก.ตร.ด้านกฎหมายออกมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีแรงต่อต้านอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพราะต้องไม่ลืมว่า “บิ๊กโจ๊ก”เหลืออายุราชการถึง 12 ปีเลยทีเดียว

และสุดท้ายบทพิสูจน์ที่เด่นชัดที่สุดก็คือ การที่ “นายป้อม” จำต้องตัดสินใจถอด “บิ๊กโจ๊ก” พ้น อนุฯ ก.ตร.ด้านกฎหมายแบบปัจจุบันทันด่วนโดยไม่มีการรีรอ สะท้อนให้เห็นว่า เรื่องนี้น่าจะ “ใหญ่เกินกว่า” ที่ พล.อ.ประวิตรจะแบกรับเอาไว้ได้.