รองปลัด ยธ.เผย เจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ เข้าพบแม่ “จ่านิว” แจ้งสิทธิรับค่าตอบแทนผู้เสียหายจากการกระทำความผิดทางอาญา พร้อมแนะวิธีเข้าสู่มาตรการคุ้มครองพยาน ขณะเจ้าตัวยังอยู่ในห้องไอซียู ด้านดีเอสไอสืบสวนคู่ขนาน ตร.ว่ามีเหตุอันควรให้เป็นคดีพิเศษหรือไม่
วันนี้ (29 มิ.ย.) นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เปิดเผยว่า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ทำงานเชิงรุกภายใต้นโยบาย “Justice Care/ยุติธรรมใส่ใจ” ได้ส่งเจ้าหน้าที่เดินทางไปโรงพยาบาลมิชชั่น เพื่อพบกับนางสาวพัฒน์นรี ชาญกิจ มารดาของนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ถูกรุมทำร้ายเมื่อวันก่อน เพื่อแจ้งสิทธิและหลักเกณฑ์ รับคำขอรับเงินค่าตอบแทนในฐานะเป็นผู้เสียหายที่มีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากมีการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่นตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมให้คำแนะนำข้อกฎหมาย รวมถึง วิธีการเข้าสู่มาตรการคุ้มครองพยานตาม พ.ร.บ.คุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ.2546
นายธวัชชัย เผยอีกว่า มารดาของจ่านิวแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่าขณะนี้จ่านิวยังคงพักรักษาตัวอยู่ในห้องพักผู้ป่วยขั้นวิกฤต (ICU) เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งสิทธิและหลักเกณฑ์การรับคำขอรับค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา รวมถึงแจ้งหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองพยานดังกล่าว โดยมี พ.ต.อ.ชาญวิทย์ พุ่มโพธิ์ รอง ผบก.น.3 ร่วมรับฟังการแจ้งสิทธิดังกล่าวด้วย เบื้องต้นมารดาจ่านิวมีความประสงค์จะขอรับการคุ้มครองพยาน แต่เนื่องจากขณะนี้จ่านิวยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ มารดาจึงขอให้เจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ ติดต่อกลับมาในภายหลังอีกครั้งหนึ่ง
นายธวัชชัย เผยต่อว่า กรณีหลายฝ่ายอยากให้เป็นคดีพิเศษนั้น ในชั้นนี้เบื้องต้นกระทรวงยุติธรรมเห็นว่า กรณีดังกล่าวยังอยู่ในชั้นของเป็นคดีอาญาอื่นที่ไม่ได้กำหนดอยู่ในท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ ซึ่งคดีดังกล่าวจะสามารถเป็นคดีพิเศษได้ต่อเมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับคำร้องและต่อมาคณะกรรมการคดีพิเศษมีมติด้วยคะแนนสองในสามของคณะกรรมการทั้งหมด โดยคดีนั้นต้องเป็นคดีที่มีการกระทำอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และบทใดบทหนึ่งจะต้องดำเนินการโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ หรือคดีที่มีการกระทำความผิดหลายเรื่องต่อเนื่องกันหรือเกี่ยวพันกัน และความผิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะต้องดำเนินการโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจสืบสวน สำหรับความผิดบทอื่นหรือเรื่องอื่นด้วย และให้ถือว่าเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) จึงจะเป็นคดีพิเศษที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินคดีได้
“อย่างไรก็ตาม กรมสอบสวนคดีพิเศษได้สั่งการให้มีการสืบสวนตามทางข้างในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าคดีความผิดทางอาญาใดเป็นคดีพิเศษมาตรา 23/1 วรรคสอง คู่ขนานไปกับการปฎิบัติงานของฝ่ายตำรวจด้วย ทั้งนี้เพื่อทราบข้อเท็จจริงและสนับสนุนการปฏิบัติงานของตำรวจอย่างเต็มที่” รองปลัด ยธ.กล่าว